

แหวนเทพศาสตรา
มหาพิชัยยุทธ


ลวดลายเทพศาสตรา
บนแหวน
จักร
ผ้าแพร

สังข์
คทา
กระบอง
ดวงตา
ดอกบัว

ศาสตราวุธลำดับที่ ๑ จักรแก้วพระพุทธเจ้า เป็นธรรมและบารมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขรรธ์ เพื่อปกปักษ์รักษาคุ้มครอง
ศาสตราวุธลำดับที่ ๒ ดวงตา ของ พระยายม (ยะมะนะสะ นะยะนาวุธัง) เป็นรูปดวงตา ตามความเชื่อ สามารถเผาพลาญสิ่งที่ไม่ดี สิ่งอัปมงคลให้มอดไหม้ไปได้
ศาสตราวุธลำดับที่ ๓ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ (เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง) เป็นกระบองของท้าวเวสสุวรรณ ใช้ป้องกันภูติผีปีศาจ และอสูร
ศาสตราวุธลำดับที่ ๔ ผ้าแดง ของ อาฬวะกะยักษ์ (อาฬะวะกัสสะ ภูสาวุธัง) เป็นผ้าสีแดง ตามความเชื่อ สามารถล้างอาถรรพ์วิชาอาคมมนต์ดำได้
ศาสตราวุธลำดับที่ ๕ ดอกบัว ตามคติดั้งเดิมในคัมภีร์พระเวท พระนาราย์จะถือดอกบัว อันเป็นความหมายของ ดิน หนุนความมั่นคงในชีวิต
ศาสตราวุธลำดับที่ ๖ คทา ตามคติของอินเดีย ผู้มีอำนาจจะต้องถือคทา เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจวาสนาเหนือผู้อื่น
ศาสตราวุธลำดับที่ ๗ สังข์ ถือว่าเป็นของสูง ตามคติความเชื่อของอินเดีย ภายในสังข์ สามารถกำเนิดชีวิตขึ้นมาได้ เป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

ลม

ตรี
ไฟ
ศาสตราวุธลำดับที่ ๘ ตรี พระนารายณ์ใช้ในการปราบอสูร ยักษ์ มนุษย์ เทวดา เป็นศาตราวุธที่ทรงอำนาจ เพื่อคุ้มครองภัยจากศัตรูที่คิดร้ายทำให้ศัตรูแพ้ภัยตัวเอง
แหวนด้านนี้มีสัญลักษณ์ธาตุ ได้แก่
ธาตุลม หนุนเรื่องแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง
ธาตุไฟ ช่วยเรื่องทำลายสิ่งอัปมงคลต่างๆ คุณไสย มนต์ดำ

ดิน

วัชระ
น้ำ
ศาสตราวุธลำดับที่ ๙ วัชระของ พระอินทร์ (สักกัสสะ วะชิระวุธธัง) เป็นลักษณะปลายแหลมมีเงี่ยงยาวแหลม งองุ้ม 4 แฉก ตามความเชื่อ ใช้สำหรับปราบอริราชศัตรูที่คิดร้าย ป้องกันศัตรูที่คิดจะมาทำร้าย
แหวนด้านนี้มีสัญลักษณ์ธาตุ ได้แก่
ธาตุดิน หนุนเรื่องคงกระพันชาตรี สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคามาเบียดเบียน
ธาตุน้ำ หนุนเรื่อวเมตตา มหานิยม
มหาเสน่ห์ โชคลาภ เงินทอง

ประวัติความเป็นมา
ปฐมบทแห่งการสร้างแหวนเทพศาสตรา มหาพัยยุทธ
มาจากตำนานเทพศาสตราวุธ ที่ปรากฎอยู่ใน
พระสุตันตปิฎก บทอาฬวกะสูตร ความตอนหนึ่งว่า
"ได้ยินว่า อาวุธที่ประเสริฐที่สุดในโลกมี ๔ อย่าง คือ
วชิราวุธของท้าวสักกะ คทาวุธของท้าวเวสวัณ
นัยนาวุธของพระยายม ทุสสาวุธของอาฬวกยักษ์"
นอกจากนี้ศาสตรวุธที่เป็นที่รู้จักกันดี ก็คือศาสตราวุธ
ของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ อันได้แก่
ตรี คทา จักร สังข์ และดอกบัว ซึ่งเป็นศาสตราวุธ
คู่กายขององค์มหาเทพที่ใช้ในการปราบยุคเข็ญ
ต่างๆ ให้กลับมาเป็นปกติสุข
ทางคณะผู้จัดสร้าง จึงรวบรวมศาสตราวุธในตำนานทั้ง ๔
ประกอบกับศาสตราวุธของพระนารายณ์ทั้ง ๕ ประการ
รวมกันเป็น แหวนเทพศาสตรา มหาพิชัยยุทธ

ทางคณะผู้จัดสร้างได้มีโอกาสพบกับนายช่างสุชาติ กิจทรานนท์แห่งร้านอู่ทองนาคา และอาจารย์รัฐวิทย์ ศาศวัตรชานนท์ (อาจารย์หยี) จึงได้ให้อาจารย์หยีช่วยออกแบบแหวน
โดยในเบื้องต้น ได้มีการออกแบบไว้ดังนี้

ภาพร่างแหวนเทพศาสตรา
รูปทรงจะเป็นแหวนลักษณะแบบแหวนมอญ
มีจักรอยู่ตรงกลางแหวน ล้อมรอบด้วยศาสตรวุธเทพ
และศาสตราวุธของพระนารายณ์
โดยที่บริเวณด้านข้างจะมี ตรี และ วัชระ
จากนั้นได้มีการเพิ่มลวดลายของ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ซึ่งเป็นธาตุทั้ง ๔ ที่อยู่ในโลกนี้ลงไปเพื่อเสริมและหนุน
จนสำเร็จออกมาเป็นแหวนเทพศาสตราวุธ
ลวดลายตามที่ปรากฎให้ท่านได้เห็นก่อนหน้านี้

ชนวนมวลสาร
ยันต์นะ ๑๐๘

ยันต์จารด้วยมือในฤกษ์ที่เป็นมงคลโดย อ.เครา
แห่งจังหวัดบุรีรัมย์
ตรงกลางลงยันต์
พิชัยสงครามดวง
ประสูติพระพุทธเจ้า

อ.วีระ ศรีพรหม (อ.เครา)
ผู้เชี่ยวชาญด้านเลขยันต์
และหมอชนบทประจำอำเภอ

ยันต์จุทัสสะ ๑๔ บท

คาถาทั้ง ๑๔ บทได้อธิบายว่า “ผู้ใดปรารถนาซึ่งประโยชน์
และสุขในโลกทั้งสามนี้ไซร้ ให้เรียนซึ่งพระคาถานี้
โดยอุปเทศกระทำให้ชำนาญ ผู้นั้นก็จะถึงซึ่งความศิริสวัสดิภาพ หาโรคาพาธมิได้ อาจกระทำให้เป็นที่เกรงขามแก่ข้าศึกศัตรู มีอายุยืนยาว บรรดาคนทั้งปวงมาอยู่ในอำนาจแห่งตนด้วยเดชะพระคาถานี้ คนทั้งหลายต่างน้อมนำเอาบรรณาการมาให้ ได้รับความสุขตราบเท่าถึงกาลกำหนดสิ้นชนม์มายุ ด้วยอำนาจพระคาถานี้แลฯ ”

พระยันต์มหาพิชัยยุทธ
พระยันต์ต่างๆ ในตำราพิชัยสงคราม สำหรับลงเครื่องพิชัยยุทธเจ้านายชั้นสูงและลงศาสตราวุธในการออกสงคราม และ
สำหรับลงโลหะหล่อพระไชยวัฒน์พระยันต์ต่างๆ มีดังนี้



ชนวนมวลสารนวโลหะ
ชนวนนวโลหะครบสูตร จากร้านอู่ทองนาคา
ที่มีชนวนมวลสารจากการหล่อพระ หล่อเทวดา สร้างวัตถุมงคล
หล่อองค์เทพเทวา และยันต์อันเป็นมงคล มากกว่า 20 ปี




พิธีกรรมการปลุกเสก

แผ่นยันต์ 108 และชนวนมวลสาร ได้รับการอธิฐานจิตโดย
พระภาวนาวชิรมงคล ราชาคณะ ชั้นสามัญ
รองเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมโสภณ
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2566 ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม
กรุงเทพมหานคร



ชนวนมวลสารทั้งหมด ได้เข้าพิธีปลุกเสกโดย
พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (อาจารย์อิฐ)
เจ้าอาวาส วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2566
